Search

แนวคิดการแบ่งประเภทของกฎหมายเอกชน-กฎหมายมหาชน
  • Share this:

แนวคิดการแบ่งประเภทของกฎหมายเอกชน-กฎหมายมหาชน

การศึกษากฎหมายในทางวิชาการนั้นมีความจำเป็นต้องจัดแบ่งเนื้อหากฎหมายออกเป็นส่วนๆ เราอาจจะจัดแบ่งขอบเขตของกฎหมายได้หลายขอบเขต การแบ่งตามแบบฉบับดั้งเดิม คือ แบ่งออกเป็นกฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน การแบ่งแบบนี้วางอยู่บนพื้นฐานความแตกต่างของตัวบทกฎหมายที่มีอยู่มากมาย ถ้าหากระบบกฎหมายใด มีศาลปกครองแยกต่างหาก จากศาลยุติธรรมตามปกติธรรมดา เมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นจำเป็นต้องมีการพิจารณาเสมอว่าข้อพิพาทนั้นอยู่ในขอบเขตของกฎหมายเอกชน หรือกฎหมายมหาชน

แนวคิดทฤษฎีการแบ่งแยกกฎหมายเอกชน-กฎหมายมหาชน

แนวคิดการแบ่งแยกกฎหมายเอกชน-กฎหมายมหาชนนี้เป็นการแบ่งอาศัยเหตุในทางปฏิบัติและทางทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ดังนี้คือ ทฤษฎีประโยชน์ (Interest Theory) ทฤษฎีคู่กรณีในนิติสัมพันธ์ (Subject Theory) ทฤษฎีอำนาจเหนือ (Subordinate Theory)

ทฤษฎีประโยชน์

การแบ่งแยกประเภทของกฎหมายตามแนวคิดทฤษฎีประโยชน์ (Interest Theory) นี้เราสามารถใช้แยกกฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชนได้ดังนี้
1.ประโยชน์ของเอกชน (Private interest) อันได้แก่ ประโยชน์ส่วนตัวโดยแท้ของปัจเจกบุคคลแต่ละคนที่เป็นราษฎรของรัฐก็เป็นกฎหมายเอกชน
2.ประโยชน์มหาชนหรือประโยชน์ส่วนรวม (Public or General Interest)
อันได้แก่ ประโยชน์อันร่วมกันของปัจเจกชนที่เป็นราษฎรของรัฐ หรือประโยชน์ของราษฎรร่วมกันหรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “Common Goods” หรือสมบัติอันร่วมกัน ก็เป็นกฎหมายมหาชน ประโยชน์มหาชน เช่น ความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม เป็นต้น
ทฤษฎีนี้บรรดากฎเกณฑ์ทางกฎหมายทั้งที่บัญญัติขึ้นลายลักษณ์อักษรและไม่ได้
เป็นลายลักษณ์อักษรต่างมุ่งหมายหรือเจตนารมณ์ เพื่อคุ้มครองประเภทใดประเภทหนึ่งในสองประเภท ดังกล่าว ซึ่งเป็นทฤษฎีที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งทฤษฎีนี้พบตั้งแต่สมัยโรมันสมัยอัลเปียน (Ulpian) ซึ่งมีการกล่าวอ้างในตำรากฎหมายเยอรมัน, อังกฤษ, ฝรั่งเศส

ทฤษฎีคู่กรณีในนิติสัมพันธ์
ทฤษฎีคู่กรณีในนิติสัมพันธ์ (Subject Theory) กล่าวว่า กฎหมายเอกชนคือกฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกันเอง โดยกำหนดให้เอกชนฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายที่มีหน้าที่และเอกชนฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายมีสิทธิ ส่วนกฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมหาชน เช่น รัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกันเอง หรือองค์การมหาชน เป็นต้น ดังนั้นสรุปได้คือ
กฎหมายเอกชน คือ กฎเกณฑ์ที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกันเอง
กฎหมายมหาชน คือ กฎเกณฑ์ที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรต่างๆของรัฐ
ด้วยกันเอง หรือความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐกับเอกชน เป็นต้น

ทฤษฎีอำนาจเหนือ
ทฤษฎีอำนาจเหนือ (Subordinate Theory) นี้แก้ไขทฤษฎีคู่กรณีในนิติสัมพันธ์เพื่อให้แนวคิดการแบ่งแยกกฎหมายระหว่างกฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชนมีความชัดเจนยิ่งขึ้น กล่าวคือ
กฎหมายเอกชน คือ บรรดากฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลสองฝ่ายโดยที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายอยู่ในฐานะเท่าเทียมกัน
กฎหมายมหาชน คือ บรรดากฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสองฝ่าย โดยที่บุคคลที่เป็นคู่กรณีฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง กรณีนี้จะเป็นกฎหมายมหาชนได้ต้องกำหนดให้รัฐองค์กรของรัฐอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าเอกชน หรือมีอำนาจเหนือกว่าเอกชนที่เข้ามาเป็นคู่กรณีของตน เช่น ประมวลรัษฎากรเป็นกฎหมายมหาชน เพราะกำหนดให้กรมสรรพากรซึ่งเป็นองค์กรของรัฐมีอำนาจเหนือเอกชนผู้เสียภาษี ซึ่งเข้ามาเป็นคู่กรณีโดยอำนาจของกรมสรรพากรที่มีเหนือผู้เสียภาษีที่เป็นคู่กรณีแสดงออกมาในรูปของคำสั่งประเมินภาษีอากร คือ สั่งให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามที่กรมสรรพากรกำหนดและหากผู้ถูกประเมินไม่เสียภาษี กรมสรรพากรมีอำนาจยึดทรัพย์มาชำระหนี้ภาษีอากร โดยไม่ต้องขึ้นศาลซึ่งหากเป็นเอกชนจะทำเช่นเดียวกับกรณีดังกล่าวไม่ได้ ซึ่งอำนาจเหนือที่กรมสรรพากรมีเหนือผู้เสียภาษีอากร เป็นไปตามประมวลรัษฎากร จึงถือว่าประมวลรัษฎากรเป็นกฎหมายมหาชน เพราะกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกรมสรรพากรฝ่ายหนึ่งกับเอกชนที่มีหน้าที่เสียภาษีอีกฝ่ายหนึ่ง
เมื่อพิจารณาวิเคราะห์แบ่งแยกประเภทของกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนในปัจจุบันไม่มีทฤษฎีใดที่ได้รับความนิยมและยึดถือว่าถูกต้องครบถ้วน แต่เพียงทฤษฎีเดียวและในการพิจารณาว่าบทบัญญัติใดเป็นกฎหมายเอกชนหรือกฎหมายมหาชน จะใช้หลายทฤษฎีรวมกันไปจากทั้ง 3 ทฤษฎี โดยการพิจารณาวิเคราะห์ ซึ่งจะพิจารณาจากสิ่งต่างทั้งหมด คือ
1. พิจารณาจากความมุ่งหมายที่บทบัญญัติในมาตรานั้นมุ่งจะคุ้มครอง
2. พิจารณาจากคู่กรณีในนิติสัมพันธ์ที่กฎหมายกำหนด
3. พิจารณาจากสถานะของคู่กรณีในนิติสัมพันธ์
กฎหมายเอกชน คือ บรรดากฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันเอง ซึ่งใช้ทฤษฎีคู่กรณีในนิติสัมพันธ์ กล่าวคือ กฎหมายใดที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันเอง จะเป็นกฎหมายเอกชนเสมอ โดยมิพักต้องคำนึงว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาตรานั้นมีความมุ่งหมายจะคุ้มครองประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์ส่วนตัวของเอกชน และมิพักต้องคำนึงว่าเอกชนที่เป็นคู่กรณีในนิติสัมพันธ์นั้นอยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกันหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง
กฎหมายมหาชน คือ บรรดากฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมหาชนด้วยกันเอง ระหว่างรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ระหว่างกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุข โดยไม่ต้องไปดูว่าบุคคลมหาชนซึ่งเป็นคู่กรณีฝ่ายใดมีอำนาจเหนือว่าฝ่ายใดและกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมหาชนกับเอกชน ซึ่งเป็นการใช้ทฤษฎีคู่กรณีในนิติสัมพันธ์
แต่ในกรณีที่กฎเกณฑ์ทางกฎหมายกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมหาชนกับเอกชน นั้นจะเป็นกฎหมายมหาชนได้ต่อเมื่อได้กำหนดให้บุคคลมหาชนมีอำนาจเหนือบุคคลเอกชนซึ่งเป็นการใช้ทฤษฎีอำนาจเหนือ ถ้าเป็นการกำหนดให้อยู่ในฐานะเท่าเทียมกัน เช่น การเช่าไม่ได้กำหนดให้บุคคลมหาชนมีอำนาจเหนือบุคคลเอกชน แต่เป็นการกำหนดให้อยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกัน จึงเป็นกฎหมายเอกชน สำหรับกรณีที่กำหนดให้บุคคลมหาชนอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าเอกชน เช่น ประมวลรัษฎากรก็เป็นกฎหมายมหาชน
ดังนั้นกฎหมายมหาชนจะมีลักษณะเฉพาะหรืออาจเรียกว่าลักษณะพิเศษของกฎหมายมหาชน คือ
1.กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน หรือความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชน
2.กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายเพื่อสาธารณะประโยชน์อันจะทำให้ประชาชนได้มีความมั่นคง ปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สินและอยู่ดีกินดี สะดวกสบายในชีวิต
3.กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่ให้รัฐ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจเหนือกว่าเอกชน ซึ่งเป็นกฎหมายที่ไม่มีความเสมอภาค


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts